10 เรื่องต้องรู้ก่อนเดินทางไปเที่ยวจอร์เจีย
ประเทศจอร์เจีย เป็นประเทศที่มีอายุทางประวัติศาสตร์มากกว่า 2,500 ปีมาแล้ว ตั้งอยู่ทางสุดเขตของทวีปเอเชีย โดยมีเทือกเขาคอเคซัสเป็นตัวกั้นกลางระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย จอร์เจียนับว่าเป็นประเทศท่องเที่ยวที่กำลังฮอตสุดๆในตอนนี้ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวงอย่างกรุงทบิลิซี หรือยอดเขาคาสเบกกี้ แห่งเทือกเขาคอเคซัส ล้วนแล้วให้บรรยากาศเหมือนกำลังเที่ยวยุโรปอยู่เลยทีเดียว แต่ทีเด็ดของจอร์เจียนั้นคือไม่ต้องใช้วีซ่าสำหรับผู้ที่ถือพาสปอร์ตไทย ก่อนจะเดินทางไปเที่ยวจอร์เจีย เรามาดู 10 เรื่องต้องรู้ก่อนเดินทางเที่ยวจอร์เจียกันก่อนดีกว่า
1.ประเทศจอร์เจียอยู่ที่ไหน?
จอร์เจียเป็นระเทศที่ตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย แต่หลายท่านมักจะเข้าใจผิดไปว่าจอร์เจียนั้นอยู่ยุโรป เนื่องจากสถาปัตยกรรม ความสวยงามของประเทศ มีกลิ่นไอของความเป็นยุโรปสูงมาก
2.เที่ยวจอร์เจียต้องใช้ Visa มั้ย?
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ถือหนังสือเดินทาง(Passport)ของไทย สามารถเดินทางเข้าประเทศจอร์เจียได้โดยไม่ต้องขอ Visa (วีซ่า) และสามารถพำนักได้ถึง 365 วัน
3.ไปจอร์เจียใช้เวลาเท่าไหร่ / สายการบินอะไรบ้าง?
ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 11-12 ชั่วโมง โดยสายการบินที่ให้บริการในเส้นทาง จอร์เจียได้แก่
สายการบิน ยูเครน อินเตอร์เนชันแนล แอร์ไลน์ - Ukraine International Airlines
สายการบินเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ - Emirates Airlines
สายการบินกัลฟ์แอร์ Gulf Air
สายการบินกาตาร์แอร์เวย์ Qatar Airways
สายการบินเตอร์กิส แอร์ไลน์ Turkish Airlines
สายการบินแอร์ อัสตานา Air astana
4.ปลั๊กไฟของประเทศจอร์เจีย
ไฟฟ้าของประเทศจอร์เจียนั้น ใช้ไฟฟ้า 220 วัตต์เหมือนกับของประเทศไทย เพียงแต่รูปแบบของเต้าเสียบและปลั๊กไฟนั้นจะเป็นแบบ Type F ซึ่งเป็นแบบสองรูกลม เพื่อความสะดวกแนะนำให้พก Universal Adapter และปลั๊กพ่วงติดกระเป๋าไปด้วย
5.เที่ยวจอร์เจียใช้เงินสกุลอะไร แลกได้จากที่ไหน?
สกุลเงินของประเทศจอร์เจียนั้น เรียกว่า จอร์เจียน ลารี (Georgian Lari) หรือลารีเฉยๆก็ได้ครับ ซึ่งในปัจจุบันนี้เรายังไม่สามารถแลกเงินลารีไปจากประเทศไทยได้ เราจึงต้องนำเงิน US Dollars หรือเงิน Euro ไปแลกเป็นเงินลารีที่ประเทศจอร์เจียอีกครั้งหนึ่ง โดยสถานที่แลกเงินในจอร์เจีย สามารถแลกได้ที่สนามบิน หรือหากเดินทางไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ ก็สามารถแลกกับไกด์/หัวหน้าทัวร์ได้เลย
6.อาหารของประเทศจอร์เจีย
อาหารของประเทศจอร์เจียส่วนใหญ่จะเน้นที่แป้ง, ชีส, แตงกวา และมะเขือเทศเป็นหลัก
7.ของฝากที่ขึ้นชื่อของประเทศจอร์เจีย
สำหรับของฝากขึ้นชื่อของจอร์เจียนั้นแน่นอนว่าต้องไม่พ้นผลไม้ และไวน์รสเลิศ เนื่องจากจอร์เจียมีชื่อเสียงเรื่องการบ่มไวน์ดินเผา
ที่รสชาติดีจนชาวฝรั่งเศสที่มีความพิถีพิถันนั้น ยังต้องเอ่ยปากชมว่ารสชาติไร้ที่ติ แถมราคาก็ถูกแสนถูก เพียงขวดละ 300 - 400 บาทไทยเท่านั้น โดยแหล่งช้อปปิ้งที่เป็นที่นิยมของจอร์เจียนั้น ได้แก่ถนนคนเดิน จาน ซาเดอนี (Jan sharden street) ที่นี่เป็นถนนคนเดินย่านเมืองเก่าที่เป็นแหล่งศูนย์รวมทางสังคมและวัฒนธรรม ถนนสายนี้เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารพื้นเมือง ร้านกาแฟมากมาย และบริเวณนี้ จะมีบ้านเมืองเก่าในแบบทบิลิซีที่โดดเด่น นอกจากด้านอาหารแล้ว ยังมีพ่อค้าแม่ค้านําสิ่งของต่างๆมาวางขายมากมาย ให้คุณได้เลือกช้อปปิ้งกันแบบสุดเหวี่ยงไปเลย
8.การเดินทางในจอร์เจีย
เส้นทางในจอร์เจีย ค่อนข้างเป็นเส้นทางที่คดเคี้ยว และค่อนข้างจะขรุขระ หากท่านใดที่เป็นคนเมารถง่าย อย่าลืมเตรียมยาดม ยาหอมติดตัวกันไปด้วยน้าา เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปชมโบสถ์เกอร์ เกตี้ (GergetiTrinity Church) ต้องเดินทางโดยรถจี๊บ 4WD
9.สภาพอากาศของประเทศจอร์เจีย
ฤดูกาลของประเทศจอร์เจียถูกแบ่งออกเป็น 4 ฤดูด้วยกันครับ ได้แก่
1.ฤดูร้อน : ระหว่างเดือน มิถุนายน - สิงหาคม
ในช่วงนี้จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 30-40 องศาเซลเซียส เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทางไปพักร้อนที่ เมือง บาตูมี เมืองชายฝั่งทะเลของจอร์เจีย ที่มีความงามเทียบเท่ากับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้อย่างไร้ที่ติ
2.ฤดูใบไม้ร่วง : ระหว่างเดือน กันยายน - พฤศจิกายน
ในช่วงนี้จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10-24 องศาเซลเซียส นับว่าเป็นช่วงที่อากาศกำลังเย็นสบาย เหมาะสำหรับคนไทยมาก และอย่างที่ทราบกันว่าจอร์เจียมีเทือกเขาอยู่เยอะทำให้เราได้ชมความสวยงามของใบไม้ใบหญ้า ที่กำลังเปลี่ยนสีสันเป็นสี เหลือง ส้ม แดง ก่อนจะร่วงลงจากต้น ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการเดินทางไปเที่ยวจอร์เจียเลยทีเดียว
3.ฤดูหนาว : ระหว่างเดือน ธันวาคม - มีนาคม
ในช่วงนี้จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 2-4 องศาเซลเซียส ในเมืองหลวง และบนภูเขาอาจจะหยาวถึงขั้นติดลบ(สูงสุดถึง -20 องศาเซลเซียส) และช่วงเวลานี้แหละ ที่เราจะได้เห็นหิมะปกคลุมเทือกเขาคอเคซัส เป็นบรรยากาศที่ให้ความสวยเทียบเท่ากับสวิตเซอร์แลนด์ แต่ไม่ต้องไปถึงยุโรป ไม่ต้องขอวีซ่าก็เที่ยวได้แบบ Max Stay 1 ปี กันทีเดียว
4.ฤดูใบไม้ผลิ: ระหว่างเดือน เมษายน - พฤษภาคม
หากใครที่นึกภาพบรรยากาศของช่วงฤดูใบไม้ผลิในจอร์เจียไม่ออก ให้ลองนึกถึงเมืองอินเทอร์ลาเก้น ของสวิตเซอร์แลนด์ ที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี ล้อมรอบไปด้วยขุนเขาน้อยใหญ่ และมีลำธารไหลผ่าน ให้ความรู้สึกสงบสุข และมีความสวยงามราวกับสวรรค์ จนได้รับฉายาว่า "เป็นสวนหลังบ้านของพระเจ้า" เลยทีเดียวครับ
10.ช่วงเวลาที่สวยที่สุดในการเที่ยวจอร์เจีย
หากพูดถึงช่วงเวลาที่สวยที่สุดของการเดินทางไปเที่ยวจอร์เจีย ขอแนะนำช่วงฤดูใบไม้ร่วง ระหว่างเดือน กันยายน - พฤศจิกายน ในช่วงนี้จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10-24 องศาเซลเซียส นับว่าเป็นช่วงที่อากาศกำลังเย็นสบาย เหมาะสำหรับคนไทยมาก นอกจากจะได้ชมสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ยังได้ชมใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี เป็นเหลือ ส้ม แดง ไปตามกาลเวลาอีกด้วย
อีกหนึ่งช่วงที่ควรเดินทางไปเยือนจอร์เจียที่สุดก็คือ ฤดูหนาว ระหว่างเดือน ธันวาคม - มีนาคมของทุกปีนั่นเอง คุณจะได้พบกับความสวยงามอันน่าทึ่ง ราวกับได้เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ เลยทีเดียว เนื่องจากเทือกเขาต่างๆ จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ให้อารมณ์เหมือนกำลังเที่ยวยุโรปยังไงอย่างงั้นเลยล่ะ แต่จะว่าไปแล้วไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนของปี จอร์เจียก็สามารถท่องเที่ยวได้ แต่ละสถานที่ท่องเที่ยวจะให้ความรู้สึกและบรรยากาศที่ต่างกันออกไปในแต่ละช่วงฤดูกาล แต่น้องแฟลชคอนเฟิร์มเลยนะครับว่า จอร์เจียเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอน